|
หมวดที่ 1 ชื่อ เครื่องหมายและที่ตั้ง |
ข้อ 1.มูลนิธินี้ให้ชื่อว่า “มูลนิธิรักเมืองไทย”
ข้อ 2.เครื่องหมายของมูลนิธิเป็นรูปแผนที่ประเทศไทยด้านล่างมีคำว่ามูลนิธิรักเมืองไทยอยู่ภายในวงกลม
ข้อ 3.สำนักงานของมูลนิธิ ตั้งอยู่ที่ 84 ถนนอู่ทองนอก แขวงดุสิต กรุงเทพมหานคร |
|
หมวดที่ 2 วัตถุประสงค์ |
ข้อ 4.วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ คือ
4.1 เพื่อส่งเสริมการศึกษา การวิจัยค้นคว้าและกิจกรรมเยาวชน |
4.2 เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางการแพทย์ การสาธารณสุข การกีฬาและการศึกษา |
4.3 เพื่อส่งเสริมการบรรเทาทุกข์ การบรรเทาสาธารณภัย การสงเคราะห์ชุมชนและสาธารณประโยชน์อื่น ๆ |
4.4 เพื่อส่งเสริมความสมัครสมานสามัคคีในระหว่างกลุ่มชนต่างอาชีพ โดยมิคำนึงถึงสภาพความแตกต่างของฐานะ |
4.5 เพื่อร่วมมือกับองค์การอื่น ๆ บำเพ็ญสาธารณกุศลสงเคราะห์ |
4.6 ไม่ดำเนินการเกี่ยวกับการเมืองแต่ประการใด |
|
|
หมวดที่ 3 ทุนทรัพย์ ทรัพย์สินและการได้มาซึ่งทรัพย์สิน |
ข้อ 5. ทรัพย์สินของมูลนิธิ มีทุนเริ่มแรก คือ
เงินสดจำนวน 200,000 (สองแสนบาท) คือ เงินสดที่คณะกรรมการอำนวยการฯ รักเมืองไทย จัดรายการโทรทัศน์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2523 มอบให้เป็นทุนก่อตั้ง |
ข้อ 6. มูลนิธินี้อาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้
6.1 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นๆ โดยที่ได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนีสิน หรือภาระติดพันอื่นใด |
6.2 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ |
6.3 ดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิหรือดอกผลจากทรัพย์สินอื่นที่มีผู้บริจาคให้มูลนิธิโดยไม่มีเงื่อนไข |
|
|
หมวดที่ 4 คุณสมบัติและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ |
ข้อ 7. กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้
7.1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์ |
7.2 ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ |
7.3 ไม่เป็นผู้ทุพลภาพหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ |
7.4 ไม่เป็นผู้ต้อคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่การกระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ |
ข้อ 8. กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
8.1 ถึงคราวออกตามวาระ |
8.2 ตายหรือลาออก |
8.3 ขาดคุณสมบัติตามตราสารข้อ 7 |
8.4 เป็นผู้ที่มีความประพฤติและปฏิบัติตนให้เป็นที่เสื่อมเสียและคณะกรรมการมูลนิธิ มีมติให้ออกโดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ ของคณะกรรมการมูลนิธิ |
|
|
หมวดที่ 5 การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ |
ข้อ 9. มูลนิธิดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิจำนวนไม่น้อยกว่า 10 คน แต่ไม่เกิน 25 คน ประกอบด้วยประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขาธิการมูลนิธิ เหรัญญิก และตำแหน่งอื่น ๆ ตามแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ 10. ในวาระเริ่มแรก คณะกรรมการมูลนิธิได้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อท้ายข้อบังคับฉบับนี้
ข้อ 11. วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้ ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เลือกตั้งประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานมูลนิธิเลขาธิการ มูลนิธิเหรัญญิก และกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ
ข้อ 12. กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
ข้อ 13. เพื่อให้การดำเนินงานของมูลนิธิเป็นไปโดยต่อเนื่องกัน เมื่อคณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิได้ปฏิบัติงานในหน้าที่ครบ 2ปี ให้มีการจับฉลาก ออกไปหนึ่งในสองของจำนวนกรรมการมูลนิธิ ที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิครั้งแรก
ข้อ 14. การเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม
ข้อ 15. กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระหรือโดยการจับฉลากในวาระแรก อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ข้อ 16. ถ้าตำแหน่งกรรมการมูลนิธิว่างลงให้คณะกรรมการมูลนิธิที่เหลืออยู่ตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการมูลนิธิแทนตำแหน่งที่ว่างลง กรรมาการมูลนิธิผู้ได้รับการแต่งตั้ง ซ่อมอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน |
|
หมวดที่ 6 อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการมูลนิธิ |
ข้อ 17. คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจกรรมของมูลนิธิ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิและภายใต้ข้อบังคับนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ |
17.1 กำหนดนโยบายของมูลนิธิและดำเนินการตามนโยบายนั้น |
17.2 ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่าง ๆ ของมูลนิธิ |
17.3 เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงินและบัญชีงบดุล รายได้ รายจ่าย ต่อกระทรวงมหาดไทย |
17.4 ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิและวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้ |
17.5 ตราระเบียบที่เกี่ยวกับการดำเนินการของมูลนิธิ |
17.6 แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะเพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิภายใต้ความควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ |
17.7 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้เป็นมูลนิธิเป็นพิเศษ เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ |
17.8 เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ |
17.9 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการมูลนิธิ |
17.10 แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำมูลนิธิ ให้ดำเนินการตาม ข้อ 17..7, 17.8, และ 17.9 หรือเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุมและที่ปรึกษาตามข้อ 17.9 ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น |
|
ข้อ 18. ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ |
18.1 เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมาการมูลนิธิ |
18.2 สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ |
18.3 เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก และในการทำนิติกรรมใด ๆ ของมูลนิธิหรือการลงลายมือชื่อในเอกสารข้อบังคับ และสรรพหนังสืออันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ และในการออรถคดีนั้น เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทนหรือกรรมการมูลนิธิ 2 คน ได้ลงลายมือชื่อแล้ว จึงเป็นอันใช้ได้ |
18.4 ปฏิบัติการอื่น ๆ ตามข้อบังคับและมติของคณะกรรมการมูลนิธิ |
|
ข้อ 19. ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิ ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธาน ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือ ในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน |
ข้อ 20. ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิ และรองประธานกรรมการมูลนิธิ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิ คนใดคนหนึ่ง เป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น |
ข้อ 21. เลขาธิการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประจำของมูลนิธิติดต่อประสานงานทั่วไปรักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการ ตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิและทำรายงานการประชุมตลอดจนรายงานกิจกรรมของมูลนิธิ |
ข้อ 22. เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด |
ข้อ 23. สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่น ๆ ให้มีหน้าที่ตามคณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน |
ข้อ 24. คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการหรืออนุกรรมการอื่น ๆ ของมูลนิธิได้ |
|
หมวดที่ 7 อนุกรรมการ |
ข้อ 25. คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการประจำหรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้และ ในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการเลขานุการ หรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ก็ให้อนุกรรมการแต่ละคณะแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าว |
ข้อ 26. อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนคณะอนุกรรมการประจำ อยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งและอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกก็ได้
26.1 อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย |
26.2 อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย |
|
|
หมวดที่ 8 การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ |
ข้อ 27. คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำทุก ๆ ปีภายในเดือนมีนาคม และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่ง ของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
|
ข้อ 28. การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปแสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้
|
ข้อ 29. กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งมิได้กำหนดไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการประชุม ให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์ประชุมให้ใช้ข้อ 27 บังคับโดยอนุโลม
|
ข้อ 30. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรืออนุกรรมการหากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมถือเอาเสียงข้างมากในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจ สั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือ แทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธ ิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ในคราวต่อไปถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการ ไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
|
ข้อ 31. ในการประชุมกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการประธานกรรมการมูลนิธิ หรือประธาน ที่ประชุมมีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติหรือผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจงหรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้ |
|
หมวดที่ 9 การเงิน |
ข้อ 32. ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีที่ทำหน้าที่แทนมีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) และ ให้เลขาธิการมูลนิธิมีอำนาจสั่งจ่ายได้คราวละไม่เกิน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิที่อนุมัติให้จ่ายได้ แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
|
ข้อ 33. เหรัญญิกมีอำนาจเก็บเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน 10,000.00 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
|
ข้อ 34. เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ์ ต้องฝากไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นใด ที่รัฐบาลให้การค้ำประกัน แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
|
ข้อ 35. การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วเงิน หรือสลิปสั่งจ่ายเงินจากสมุดเงินฝากจะต้องมีลายมือชื่อของประธานมูลนิธิ หรือเลขาธิการ หรือเหรัญญิก 2 ใน 3 ชื่อนี้ลงนามทุกครั้ง ที่จะเบิกจ่ายได้
|
ข้อ 36. ในการใช้จ่ายเงินมูลนิธิ ให้จ่ายเพียงดอกผล
อันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนของมูลนิธิและเงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบโดยเฉพาะ
|
ข้อ 37. ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน การบัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงิน นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
|
ข้อ 38. ให้ผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ ซึ่งคณะกรรมการมูลนิธิเห็นชอบและแต่งตั้งจากบุคคลที่ไม่ใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่อื่นของมูลนิธิ โดยจะให้ดำรงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ หรือได้รับค่าตอบแทนอย่างไรสุดแต่ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
|
ข้อ 39. ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของมูลนิธิและรับรองบัญชีงบดุลประจำปีที่คณะกรรมการจะต้องรายงานต่อกระทรวงมหาดไทย ผู้สอบบัญชีมีสิทธิ ตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องตลอดจนสอบถามกรรมการมูลนิธิและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเงินการบัญชี และเอกสารดังกล่าวได้ |
|
หมวดที่ 10 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ |
ข้อ 40. การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้โดยเฉพาะที่ประชุมกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวน กรรมการทั้งหมด และมติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม |
|
หมวดที่ 11 การเลิกมูลนิธิ |
ข้อ 41. ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติคณะกรรมการหรือโดยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลือ ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่มูลนิธิหนึ่งมูลนิธิใด ที่มีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกัน ซึ่งแล้วแต่มติคณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด |
ข้อ 42. การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุผลต่อไปนี้
42.1 เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นเต็มจำนวน |
42.2 เมื่อกรรมการมูลนิธิมีจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก |
42.3 เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับ |
42.4 เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ |
|
|
หมวดที่ 12 บทเบ็ดเตล็ด |
ข้อ 43. การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิหากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
|
ข้อ 44. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนด
|
ข้อ 45. มูลนิธิจะต้องไม่กระทำการค้ากำไรและจะต้องไม่ดำเนินการนอกเหนือไปจากข้อบังคับกำหนดไว้ |
|
|
-> กลับขึ้นไปด้านบน |